วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันวิสาขบูชามีความหมายดังนี้คือ.................





ภาพจากงานสัปดาห์วัน วิสาขบูชา 15 - 28 พฤษภาคม 2553 วันที่ประกอบด้วยคุณพิเศษ คือ 1.เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ 2.เป็นวันที่ต้นศรีมหาโพธิ์เกิดขึ้น 3.เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ 4.เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับชันธปรินิพพาน ในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 8(อาสาฬหบูชา)พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ปฏิสนธิ ในพระครรภ์พระนางมหามายาเทวีพร้อม ๆ กับแผ่นดินไหว (ขณะที่ปฏิสนธิในพระครรภ์มารดาไม่ใช่ขณะประสูติ) เทวดาต่างอารักขาพระโพธิสัตว์และพระมารดา พระมารดา ไม่มีความลำบากในการทรงพระครรภ์ พระมารดาย่อมได้ยศ ได้ลาภอันเลิศ ไม่มีความพอใจในบุรุษ พระโพธิสัตว์ทรงประสูติ ตามธรรมเนียมของสมัยนั้น สตรีเมื่อจะคลอดย่อมคลอดที่สกุลเดิมหรือบ้านของบิดา มารดาของตน พระนางมหามายาเทวีจึงมีพระประสงค์จะไปที่กรุงเทวทหะอันเป็นเมือง ของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อลุมพินีวัน ขณะนั้นต้นสาละออกดอกบานสะพรั่ง พระเทวีมี 

ประสงค์จะเล่นในสวนสาลวัน พระนางมีประสงค์จะจับกิ่งใด กิ่งนั้นก็น้อมมาที่พระหัตถ์ และลมกัมมัชวาตก็เกิดขึ้น มหาชนจึงล้อมม่านแล้วถอยออกไป พระนางได้ยืนจับกิ่ง สาละนั่นแลได้ประสูติแล้ว ในขณะนั้นนั่นเองท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทอง มาด้วยเอาข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา พลางทูลว่าข้าแต่พระเทวีขอพระองค์จงดีพระทัยเถิดพระราชบุตรของพระองค์ มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้วพระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดู ทิศตะวันออกจักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกันพวกเทวดาและ มนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กราบทูลว่าข้าแต่ท่าน บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มีคนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหนพระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง 10 คือทิศใหญ่ 4 ทิศเล็ก 4 เบื้องล่างเบื้องบนก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตนต่อจากนั้นประทับยืนที่ พระบาทที่ 7 ทรงเปล่งอาสภิวาจา วาจาแสดงความยิ่งใหญ่ว่าเราเป็นผู้เลิศในโลกเราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลกเราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในโลกการเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายบัดนี้ภพใหม่ไม่มีต่อไปย้อนรำลึกเหตุการณ์ใน วันวิสาขบูชา

ตรัสรู้ในเวลาเช้าของวันเพ็ญเดือน 6 วันวิสาขบูชา ขณะนั้นมีพระชนมายุ 35 พระชันษา ขณะนั้นทรงประทับที่ต้นไทรนาง สุชาดา นำข้าวมธุปายาสที่ใส่ถาดทองมาถวายพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมธุปายาสแล้วได้ เสด็จไป ที่ท่าน้ำเนรัญชราพระองค์ทรงอธิษฐานว่าหากเราได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไปเมื่อพระองค์ทรงปล่อยถาดลงในกระแสน้ำถาด นั้นก็ ลอย ทวนกระแสน้ำและได้จมลงไปในที่อยู่ของนาคราชเมื่อถึงเวลาเย็น นายโสตถิยะก็ถวายหญ้า 8 กำ กับพระโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ทรงวางหญ้าที่โพธิ บัลลังก์ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรงประทับนั่งแล้วอธิษฐานว่าหากเรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้วแม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้ง ไปก็จะไม่ลุกไปเด็ดขาด

พระองค์ทรงกำจัดมารในเวลาเย็นในเวลาปฐมยามทรงระลึกชาติได้แต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเวลามัจฌิมยาม พระองค์ทรงเห็น สัตว์เกิดสัตว์ตายด้วยพระญาณแต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้าเวลาปัจฉิมยามทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา.เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ได้เปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่าเราเมื่อแสวงหานายช่าง(คือตัณหา)ผู้กระทำ เรือนเมื่อไม่ประสบได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่ น้อยความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้ กระทำเรือนเราเห็นท่านแล้วท่านจักทำเรือนไม่ได้ อีกต่อไปซี่โครงทั้งปวงของท่านเราหักแล้วยอด เรือนเรากำจัดแล้วจิต(ของเรา)ถึงวิสังขาร(นิพพาน) แล้วเราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไรในปัจฉิมยามพระองค์ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท นั่นก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้สัจจะ ความจริงที่เป้นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ทรงตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ใชสัตว์ บุคคล อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะมีความไม่รู้ จึงมีสภาพ ธรรมอื่น ๆ เกิดวนเวียนเป็นสังสารวัฏฏ์ ไม่มีที่สิ้นสุดแต่เมื่อวิชชา คือปัญญาเกิดก็สามารถดับสังสารวัฏฏ์ได้พระองค์ตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียงสภาพธรรมด้วย

ปัญญา ของพระองค์ตามความเป็นจริงการจะรู้ความจริงจึงรู้ขณะนี้ด้วยการฟัง การศึกษาให้ เข้าใจสภาพธรรมทำ หน้าที่เองให้ปัญญาเจริญขึ้นจนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่มี ในขณะนี้ย้อนรำลึกเหตุการณ์ในวันวิสาขบูชาปรินิพพานในวัน มาฆบูชา พระพุทธองค์ทรงปลงมายุสังขาร ณ.ปาวาลเจดีย์จากนี้ไปอีก 3 เดือน เราจะปรินิพพานพระองค์ทรงตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่าชนเหล่าใดทั้งเด็กผู้ใหญ่ - ทั้งพาล - ทั้งบัณฑิต - ทั้งมั่งมีทั้ง - ขัดสน ล้วนมีความตาย เป็นเบื้องหน้าภาชนะดิน ที่ช่างหม้อทำทั้งเล็กทั้งใหญ่ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความ แตกเป็นที่สุดฉันใดชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวก เธอจงไม่ประมาทมี สติ มีศีลด้วยดีเถิดจงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นด้วยดีจงตามรักษา จิตของตนเถิดผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ผู้นั้นจักละชาติสงสารแล้ว จะกระทำที่สุดทุกข์ได้ในวันวิสาขบูชา

พระพุทธองค์เสด็จไปที่เมืองกุสินารา แม้จะลงพระโลหิตอย่างมาก ใกล้จะปรินิพพานแล้วแต่พระองค์ก็เสด็จไปเพื่อที่จะโปรดสุภัททะปริพาชกให้บรรลุ ธรรมและเพื่อที่จะแสดงมหาสุทัสสนสูตรเพื่อให้มหาชนได้ฟังพระธรรมและอีกเหตุผล หนึงคือหากพระองค์ปรินิพพานที่กุสินาราจะไม่มีการทะเลาะกันในเรื่องของการแบ่งพระ ธาตุจะเห็นได้ถึงพระมหากรุณาคุณของพระองค์แม้พระองค์จะปรินิพานแล้วก็ยังช่วย สัตว์โลกแม้จะทรงประชวรอย่างหนักก็ตาม พระพุทธเจ้าเสด็จถึงป่าสาลวัน รับสั่งให้พระอานนท์จัดเตียงหันพระเศียรไปทาง ทิศเหนืออันอยู่ระหว่างต้นสาละคู่ครั้งนั้นเทวดาและมนุษย์ต่างบูชาด้วยดอกไม้ของ หอมมากมาย พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์การบูชา ด้วยสักการะเหล่านี้ อามิสบูชา ยังไม่

ชื่อว่าสักการะ เคารพพระองค์จริง แต่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ชื่อว่าบูชาพระองค์ นั่นคือการให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรมเจริญกุศลทุกประการจนถึง การดับกิเลสได้เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องสังเวชนียสถานว่าเป็นที่ที่ควรระลึกถึง ควรเห็นของผู้มี ศรัทธาเมื่อพระศาสดาล่วงไปแล้ว พระอานนท์ร้องไห้ที่ประตูวิหาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียก พระอานนท์ และเตือนว่า ทุกสิ่งมีความแตกสลายไปธรรมดาเธออย่าประมาทจงทำที่สุดทุกข์และตรัสสรรเสริญพระอานนท์มากมายพระพุทธเจ้าทรงโปรดสุภัททะปริพพาชกจนสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเธออย่าสำคัญว่าศาสดาล่วงไปแล้วจะหาพระศาสดาไม่ได้ พระธรรมของเราจะเป็นศาสดาของพวกเธอ เมื่อพระภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว พระองค์ได้ตรัสพระปัจฉิมโอวาทว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความ ไม่ประมาทให้ถึง

พร้อมเถิดนี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต. พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานและออกจากฌานและทรงออกจากจตุตถฌานแล้ว พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานดับรอบซึ่งสังขารธรรมและขันธ์ทั้งหลายในคืนวันวิสาขบูชาพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไปไหน ? นิพพานไม่ใช่สถานที่ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อจุติจิตของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ เกิดขึ้นก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดจึงไม่เป็นเหตุให้มีขันธ์ 5 เกิดขึ้นอีกจึงไม่ สามารถกล่าวได้ว่าไปที่ไหนเหมือนเปลวเทียนเมื่อดับไป เปลวเทียนไปไหนช่างตี เหล็กใช้ฆ้อนเหล็กเมื่อตีเหล็กติดไฟแล้วไฟก็ดับไปไฟไปไหนพระอรัหันต์ผู้ดับ กิเลสแล้วเมื่อปรินิพพานจึงหา(คติ)ที่ไปไมได้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น