Sometime เคยมีหนังสือ วิมุติรัตนมาลี ยาวมากแต่ขายไปแล้วหนังสือเล่มดีมากเลยทีเดียวและยังมีอีก 1 เล่มรจนา โดย พระราชวิสุทธิโสภณ วิลาศ ญาณวโร ป.ธ ๙ ชื่อว่า กรรมทีปนี Sometime ได้เคย โพสแล้ว 1 ครั้ง
ตอนย่อย ภัททิยเศรษณี
อดีตชาติล่วงแล้วหนหลัง ครั้งศาสนาแห่งสมเด็จพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราตถาคตได้เกิดเป็นเศรษฐีมีนามว่าภัททิยเศรษฐีมีอาชีพเป็นนายพาณิชพ่อค้า สำเภา ส่วนเจ้าพิมพานี้เกิดเป็นกุมารีงามโสภา นามว่า ปติครุกา ภายหลังต่อมาได้เป็นบาทบริจาริกาแห่งภัททิยเศรษฐีนั้น
กาลวันหนึ่ง ภัททิยเศรษฐีมีกิจจะต้องเดินทางโดยสำเภาไปค้าขายยังเมืองสุวรรณภูมิ เป็นเวลาช้านานจะประมาณวันเดือนปีมิได้ดังนั้น ก่อนที่จะออกเดินทางจึงสั่งนางปติครุกาไว้ว่า เจ้าอยู่ข้างหลังจงตั้งใจอย่าได้ประมาท เร่งระวังรักษาตัวเจ้าและทรัพย์สมบัติไว้ให้ดี ครั้นสามีออกเดินทางไปแล้ว นางปติครุกาก็กระทำตามคำสั่งสามีทุกสิ่งทุกประการ
สมัยนั้น สมเด็จพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพุทธดำเนินโปรดสัตว์มาจนถึงเมืองพารา ณสี อันเป็นเมืองของภัททิยเศรษฐี นางปติครุกาภริยาแห่งภัททิยเศรษฐีเจ้ามีศรัทธา ทูลอาราธนาสมเด็จพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระอริยสงฆ์องค์บริวารให้เข้าไปรับ อาหารบิณฑบาตที่คฤหาสน์ของนาง ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ก็ทรงประทานพระธรรมเทศนาภัตตานุโมทนา แสดงผลานิสงส์แห่งบิณฑบาตทาน นางปติครุกาได้สดับพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วกอปรด้วยศรัทธากล้าหาญปสันนาการเลื่อมใส จึงกราบทูลอาราธนาพระองค์ไว้มิให้เสด็จไปสู่นครอื่น แล้วได้บริจาคทรัพย์สมบัติมากมายออกจำหน่ายจ่ายสร้างพระวิหาร วันฉลองพระวิหารก็ได้ถวายไตรจีวรเย็บย้อมเป็นอันดี ในขณะที่สมเด็จพระพุทธองค์กับทั้งพระสงฆ์สาวกบริวารเสด็จมารับมหาทานใน พิธีการฉลองพระวิหารนั้น นางก็หลั่งทักษิโณทก ให้ตกลงเหนือฝ่าพระหัตถ์แห่งสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าแล้ว จึงตั้งปณิธานความปรารถนาว่า
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนผลานิสงส์นี้ ส่งไปให้สามีของข้าพเจ้าผู้ชื่อภัททิยเศรษฐี เดชะผลทานนี้ ขอให้สามีของข้าพเจ้าประกอบไปด้วยสิริสวัสดี นิราศปราศจากภัยอันตรายในมหาสมุทร"
สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าจึงทรงอนุโมทนาว่า ขอความปรารถนาของเจ้าจงสำเร็จดั่งมโนรถเถิด แล้วก็ประทับอยู่ในพระวิหารตามคำอาราธนาของนาง ข้างทางภัททิยเศรษฐีหลังจากที่ฟันฝ่าอุปสรรคอันตรายในท่ามกลางมหาสมุทรใหญ่ เดินทางไปค้าขายยังสุวรรณภูมินคร ครบกำหนดนานถึง ๓ ปี แล้วจึงได้กลับมาถึงคฤหาสน์แห่งตนที่เมืองพาราณสีโดยปลอดภัย แต่พอมาถึงและนั่งลงแล้ว นางปติครุกาภริยาก็แจ้งความตามที่นางได้บำเพ็ญกองการกุศลต่างๆ แล้วพาสามีไปสู่พระวิหารที่ตนสร้างไว้ในพระบวรพุทธศาสนา เพื่อให้สามีได้ชื่นชมโสมนัสในมหากุศล ชวนกันเข้าไปถวายอภิวาทแทบพระยุคลแห่งองค์สมเด็จพระทศพลปทุมุตรสัมมาสัมพุทธ เจ้าซึ่งยังประทับอยู่ที่พระวิหารนั้น ครั้นภัททิยเศรษฐีเพ่งพิศพินิจดูสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าก็ยิ่งบังเกิดความ ศรัทธาออกวาจาสรรเสริญสดุดีว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเป็นผู้ทรงพระเดชพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐกว่าสรรพสัตว์ใน ไตรภพ ทรงรบชนะซึ่งปัญจวิธมารได้อย่างจริงแท้แน่นอนโดยมิต้องสงสัย สดุดีฉะนี้แล้ว ก็มีสกลกายและดวงหฤทัยเต็มตื้นไปด้วยกำลังปีติโสมนัสยิ่ง แล้วจึงมีสุนทรวาจากล่าวกับภริยาว่า
"ดูกรเจ้าซึ่งมีพักตร์อันเจริญ! เจ้านี่เป็นคนดีหนักหนา มีจิตศรัทธากอปรด้วยปัญญาสร้างมหากุศลไว้ในพระบวรพุทธศาสนาเห็นปานฉะนี้ คราวนี้ นับว่าเป็นบุญลาภของเราทั้งสองแล้ว ด้วยว่าเราจักได้สำเร็จพระโพธิญาณก็เพราะการกุศลนี้"
ภัททิยเศรษฐีผู้มีศรัทธา ปลงปัญญาให้เห็นตามความเป็นจริงดั่งนี้แล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วน้อมกายถวายนมัสการสมเด็จพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้ง แล้วครั้งเล่า แล้วจึงออกโอษฐ์ตั้งความปรารถนาเอาพระพุทธภูมิโพธิญาณ เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระปทุมุตรบรม- ศาสดาจารย์ ด้วยประการฉะนี้
สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงนำเอาเรื่องในอดีตชาติมาตรัสเล่า ณ ท่ามกลางมหาสังฆสันนิบาตจบลงแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่สมเด็จพระพิมพาภิกษุณีอีกว่า
"ดูกรเจ้าพิมพา อันตัวเจ้านี้มีคุณแก่เราตถาคตมาแต่กาลก่อน เราตถาคตจักได้สำเร็จแก่พระบวรสัมโพธิญาณ ก็เพราะอาศัยเจ้าเป็นส่วนสำคัญ ตลอดเวลาที่ยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร เราทั้งสองนี้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เราเคยกระทำบุญให้ทานการกุศล ร่วมกันมา ตั้งแต่นี้ต่อไปเบื้องหน้า เราทั้งสองนี้จะขาดจากวิสาสะกันแล้ว การที่ว่าจะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอีกต่อไปก็หามิได้ ด้วยว่าเจ้าจะดับขันธ์เข้าสู่อมตมหานฤพานไป นับวันแต่จะไกลกันแล้ว จะได้มีโอกาสช่วยเราตถาคตเพิ่มบารมีอีกก็หามิได้ โทษผิดอันใดที่เจ้าเคยมีต่อเราตถาคตแต่ปางก่อน วันนี้เป็นวันที่เราตถาคตอดโทษให้แก่เจ้าจนหมดสิ้น อนึ่ง โทษานุโทษอันใด ที่เราตถาคตได้เคยประมาทล่วงเกินเจ้า ด้วยความพลาดพลั้งทั้งลับหลังและต่อหน้าตลอดเวลาที่ยังต้องท่องเที่ยวเวียน ว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ขอเจ้าจงอดโทษานุโทษนั้น ให้แก่เราตถาคตเสียให้สิ้น แล้วจงดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุขไปก่อนเถิดนะ เจ้าพิมพา"
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งเฉยมิได้ตรัสประการใดอีก ด้วยทรงเห็นว่าเวลายังเหลือน้อยแล้วขณะนั้น สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณีจึงมีวาจาทูลลาเป็นครั้งสุดท้ายว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระสวัสดิภาคเป็นอันงาม พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งแห่งปวงประชาสัตว์ในโลก พระเจ้าข้า ในอเนกบุรพชาติแต่ก่อนมา ข้าพระบาทพิมพานี้ได้เคยร่วมสร้างบารมีกับด้วยพระองค์เป็นอันมากกว่ามาก ตั้งแต่นี้ไปพิมพาข้าพระบาทนี้ก็จะไม่ได้ร่วมบารมี กับด้วยพระองค์อีกแล้ว อนึ่ง แต่บุรพชาติล่วงแล้วมา เมื่อยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร พิมพาข้าพระบาทจะได้ขาดวิสาสะคุ้นเคยกับพระองค์ก็หามิได้ ด้วยเป็นที่สบอัธยาศัยพอใจร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา พิมพาได้ทุกข์พระองค์ก็พลอยทุกข์ด้วย พิมพาได้สุขพระองค์ก็พลอยสุขด้วย เหมือนกันดั่งเช่นในกาลที่เกิดเป็นกินนร สมัยสมเด็จพระชินวรโลกนาถอภินันทสัมมาสัมพุทธบพิตร
จริงอยู่ สมัยที่สมเด็จพระอภินันทสัมมาสัมพุทธบพิตรผู้ประเสริฐทรงอุบัติเกิดในโลก นั้น พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพญากินนร แม้พิมพาข้าพระบาทนี้ก็ได้เกิดเป็นนางกินรีเทวี และได้สมัครรักใคร่เป็นสามีภรรยากันด้วยเสน่หา พญากินนรและนางกินรีทั้งสอง นั้น พากันไปเที่ยวเล่นเป็นที่เริงสราญใจ ที่จอมเขาประดับด้วยไม้นานาพรรณบ้างพากันไปเที่ยวเล่นที่ป่าใหญ่ประดับด้วย บุปผาสุมาลัยหลากสีเป็นที่น่ารื่นรมย์แห่งใจ บ้างพากันเที่ยวที่ริมฝั่งน้ำมีหาดทรายขาวสะอาดตาน่าทัศนา ทั้งสองสามีภรรยาพากันเที่ยวเล่นเป็นที่สำราญสนุกทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่ง พญากินนรและนางกินรีเทวีสองสามีภรรยาพากันไปเที่ยวเล่นที่ริมฝั่งน้ำ เที่ยวเก็บเอาดอกไม้บุปผชาติหลากสีมีกลิ่นหอมมาปูลาดเหนือหาดทรายให้มากแล้ว ก็ชวนกันนอนเล่นเหนือดอกไม้นั้นเป็นที่สุขสำราญรื่นรมย์แห่งใจ เมื่อบังเกิดความสุขสบายจึง พากันหลับไหลอยู่ในสถานที่นั้นนานเท่านาน จนน้ำในมหาสมุทรไหลท่วมขึ้นมาเป็นอันมากด้วยว่าเป็นเวลาน้ำขึ้น ท่วมขึ้นมาจนถึงที่ซึ่งกินนรทั้งสองนอนอยู่ เมื่อรู้สึกตัวได้สมปฤดีสองกินนรก็ให้มีความตกอกตกใจกลัวอุทกภัย จึงพากันว่ายน้ำหลงไปแต่ละทิศละทาง เมื่อต่างก็หนีน้ำไปจนขึ้นเขาได้แล้วจึงเที่ยวตามหากัน แต่มิได้พบมิได้เห็นกัน จึงต่างก็ร้องไห้ปรารภถึงกัน อาลัยรักรำพันถึงกัน เป็นทุกข์เป็นร้อนถึงกันและกันหนักหนา เที่ยวตามหากันอยู่ตลอดราตรี พอสุรีย์ไขแสงทองส่องโลกรุ่งเช้า ครั้นมาพบกันเข้าแล้ว ต่างก็โผเข้ากอดกันและกันร้องไห้รำพันไปต่างๆนานา ด้วยความเสน่หาอาลัยในกันและกันยิ่งหนักหนา มาตรว่าจะจากกันเพียงราตรีหนึ่งไม่ถึงทิวา ก็มีครุวนาดุจว่าจะจากกันได้ถึง ๗ ปี ก็ปานกันนะ พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! แต่ปางก่อนที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร พระองค์กับพิมพาข้าพระบาทจะได้ขาดวิสาสะคุ้นเคยกันก็หามิได้ด้วยเป็นที่สบ อัธยาศัยพอใจและมีความเสน่หาอาลัยรักใคร่กันมานานช้า ตั้งแต่นี้ไปจะสิ้นวิสาสะกันความสัมพันธ์อันเคยมีแต่ปางก่อนก็จะขาดสะบั้นลง เสียแล้ว ด้วยว่า ข้าพระบาทที่ชื่อว่าพิมพานี้จะขอกราบถวายนมัสการลาฝ่าพระบาทยุคลทั้งคู่ของ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า ดับขันธ์เข้าสู่เมืองแก้ว กล่าวคือ พระอมตมหานฤพาน ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระสัพพัญญุตญาณ! กาลนี้ก็เป็นกาลอันควรที่จะไปสถานที่ดับขันธ์เข้าสู่อมตมหานฤพานแล้ว พิมพาข้าพระบาทขอฝาก พระลูกแก้วราหุลด้วย ขอพระองค์จงทรงช่วยอภิบาลบำรุงรักษา พิมพาข้าพระบาทนี้ขอกราบทูลลาพระองค์แล้ว......
เมื่อสมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณีเถรี ถวายบังคมลาเป็นครั้งสุดท้ายฉะนี้ สมเด็จพระชินสีห์เจ้าจึงทรงมีพระมหากรุณาตรัสถามว่า
"ดูกรเจ้าพิมพาเอ๋ย ! เจ้าจะไปดับขันธ์นิพพาน ณ สถานที่ใดเล่า ? "
"พิมพาข้าพระบาทนี้ จะไปดับขันธ์เข้าสู่นิพพานที่อารามพระภิกษุณี ซึ่งมีอยู่ข้างทิศอุดรแห่งนครสาวัตถี พระเจ้าข้า"
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณีเถรี กราบทูลดั่งนี้แล้ว ก็เฝ้าถวายบังคมที่แทบพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอยู่หลายครั้ง หลายหนหนักหนา แล้วจึงค่อยถดถอยออกมา พาพระภิกษุณีสงฆ์ที่เป็นบริวารออกจากที่เฝ้าแต่กาลนั้น ซึ่งเป็นเพลาปัจจุสมัยใกล้จะรุ่งสางสว่างแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น